🤑 Debt Dynamics: "หนี้ซ่อนเร้น"
Image Credit: GPT
🤑 Debt Dynamics: “หนี้ซ่อนเร้น”
เขียนจากมุมมองของ “คนที่แบกหนี้” มาเอง และประสบการณ์จากที่ได้คุยมาหลายองค์กร โดยเฉพาะที่ไหนที่ตั้งมานานๆจะเจอปัญหาคล้ายๆกันนี้ทั้งนั้นครับ ผมทำงานมากว่า 30 ปี ผ่านทั้งบริษัทเล็กๆเพิ่งเริ่ม ผ่านบริษัทที่กำลังโต บริษัทข้ามชาติใหญ่โต สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นชัดเจนคือ ยิ่งองค์กรเปิดมานาน ยิ่งมี “หนี้” ที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่มากมาย แม้หลายที่จะมีฐานะทางการเงินที่ดี แต่ “หนี้ซ่อนเร้น” มีอยู่ในหลายรูปแบบเลยนะครับ
😅 Process Debt หนี้ทางกระบวนการ
ผมเคยเจอบริษัทที่พนักงานใหม่ต้องถาม 5-6 คน กว่าจะรู้ว่าขั้นตอนการทำงานจริงๆ เป็นอย่างไร เพราะแต่ละคนบอกไม่เหมือนกัน บางคนบอกแบบที่เคยทำเมื่อ 3 ปีก่อน บางคนบอกแบบที่ตัวเองคิดว่าน่าจะใช่ พอทำผิดก็โดนว่า “ทำไมไม่ถามก่อน” แต่ถามแล้วนี่ครับ แค่ไม่มีใครตอบเหมือนกัน บริษัทดูเหมือนทำงานได้ปกติ ทั้งที่ไม่มีการวางกระบวนการอะไรไว้เลย คนมาใหม่ต้องถามคนเก่า มีอะไรก็ต้องคอยถามกัน แล้วพอวาง workflow ไม่ดีจนมีคนทำงานผิดพลาดจนเกิดความเสียหาย ก็จะจบลงที่หาตัวคนผิดมาบูชายัญ พนักงานตัวเล็กๆถูกลงโทษแล้วก็จบไป ไม่มีการแก้ไขกระบวนการหรือทำให้มันชัดเจน
😅 Technical Debt หนี้ทางเทคนิค
คือระบบหรือโค้ดที่ “ใช้งานได้” แต่เขียนมาแบบรีบๆ ไม่ได้ออกแบบมาอย่างดี ผมเคยเจอระบบที่ทุกครั้งที่จะเพิ่มฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ ต้องแก้โค้ดเป็น 10 จุด เพราะมันถูก copy-paste มาใช้ทั่วทั้งระบบ (อีกหน่อยน่าจะเจอปัญหานี้เยอะขึ้นเพราะรีบใช้ AI ช่วยเขียน) ที่แย่ที่สุดคือมักไม่มีใครกล้าแก้ เพราะกลัวพัง กลัวกระทบระบบอื่น ผมจำได้ว่ามีทีมหนึ่งบอกว่า “อย่าไปยุ่งกับไฟล์นั้นนะ มันเหมือนระเบิด ไม่รู้ว่าจะแตกตอนไหน” สุดท้ายก็ปล่อยไว้อย่างนั้น จนวันหนึ่งมันแตกจริงๆ ใช้เวลาซ่อม 3 สัปดาห์ ปัญหานี้มักเกิดจากการรีบส่งงาน ไม่มีเวลาทำให้ดี หรือคิดว่า “ไว้ค่อยกลับมาแก้” แต่พอส่งงานเสร็จ ก็มีงานใหม่เข้ามา ไม่มีใครกลับมาแก้จริงๆ
😅 Design Debt
คือการที่ระบบถูกออกแบบมาไม่ดีตั้งแต่แรก หรือถูกต่อเติมไปเรื่อยๆ จนไม่สอดคล้องกัน ผมเคยเจอบริษัทที่มีระบบจัดการข้อมูลลูกค้า 4 ระบบ แต่ละระบบเก็บข้อมูลไม่เหมือนกัน พนักงานต้องเปิด 4 หน้าจอ เพื่อหาข้อมูลลูกค้าคนเดียว หรือแอพที่ผู้ใช้ต้องกดเข้าไป 7 ขั้นตอน เพื่อทำอะไรง่ายๆ อย่างเช็คยอดเงิน เพราะตอนออกแบบคิดแค่ว่า “ทำให้ใช้ได้ก็พอ” ไม่ได้คิดถึง user experience มักเกิดจากการที่แต่ละทีมทำงานแยกกัน ไม่คุยกัน หรือไม่มีคนที่มองภาพรวม แต่ละคนแก้ปัญหาของตัวเอง สุดท้ายได้ระบบที่ใช้งานยาก ซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
😅 People/Culture Debt
นี่คือหนี้ที่เห็นผลช้า แต่ทำลายล้างมาก คือการที่องค์กรไม่ลงทุนในคน ไม่พัฒนาทักษะ ไม่สร้างวัฒนธรรมที่ดี มีแต่วัฒนธรรมลูกรัก (ลูกรักทำอะไรก็ไม่ผิด มีแต่ได้ดิบได้ดี) ผมเคยอยู่ในทีมที่คนเก่งๆ ทยอยลาออกหมด เหลือแต่คนที่ “อยู่ไปวันๆ” เพราะองค์กรไม่เคยให้โอกาสเติบโต หรือวัฒนธรรมที่แต่ละแผนกไม่คุยกัน แย่งกันทำงาน ปิดบังข้อมูล ผมเคยเห็นบริษัทที่แผนก A ใช้เวลา 6 เดือนพัฒนาระบบ พอเสร็จถึงรู้ว่าแผนก B ก็ทำระบบคล้ายๆ กันอยู่ แค่ไม่มีใครบอกกัน ปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้บริหารมองว่าการพัฒนาคนเป็น “ค่าใช้จ่าย” ไม่ใช่ “การลงทุน” หรือปล่อยให้การเมืองในองค์กรบานปลาย จนคนเก่งๆ ไม่อยากอยู่
😅 Product Debt
คือการที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการค้างการพัฒนา ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ผมเคยทำงานกับบริษัทที่มี bug list ยาวเป็นหางว่าว บางตัวลูกค้าแจ้งมา 2 ปีแล้วยังไม่ได้แก้ หรือฟีเจอร์ที่สัญญากับลูกค้าแล้วผลัดมาเป็นปี ที่เจ็บคือ ลูกค้าไม่ได้บ่นแล้ว แต่เงียบๆ ไปใช้ของคู่แข่งแทน พอมารู้ตัวอีกที ลูกค้าหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ปัญหานี้มักเกิดจากการที่ทีมผลิตภัณฑ์ไม่ฟังเสียงลูกค้า หรือฟังแต่ไม่ทำ เอาแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าลูกค้าต้องการ หรือติดกับดักของ “งานด่วน” ที่กระโดดคิวเข้ามาตลอด
😅😅 Trust Debt
ประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดคือการเห็นทีมแตกแยก เพราะหัวหน้าสัญญาอะไรไว้แล้วไม่ทำตาม พนักงานเริ่มไม่เชื่อคำพูด meeting กลายเป็นการแสดงละคร ทุกคนพูดสิ่งที่อยากให้หัวหน้าได้ยิน ไม่ใช่ความจริง ผมเคยอยู่ในบริษัทที่หัวหน้าบอกว่า “คุณทำเลยตามนี้ ได้แน่นอน” พอผ่านไป 2 เดือน ลืม! (หรือแกล้งลืม?) หลังจากนั้น ไม่ว่าหัวหน้าจะพูดอะไร ทุกคนจะคิดในใจว่า “จริงหรือเปล่า หรือจะหลอกกันอีก” Trust Debt นี้สะสมมาจากการบิดเบือนความจริง การสัญญาแล้วไม่ทำ และหนักที่สุดคือ การลงโทษคนที่พูดความจริง เป็นความเสียหายที่ซ่อมยากมาก เพราะความเชื่อใจเมื่อแตกแล้ว ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะกลับมา 😖
🤑 บทเรียนที่ผมได้จากการทำงานมากว่า 30 ปี
หลังจากเจอมาหลายองค์กร ผมเข้าใจแล้วว่า ยิ่งองค์กรอยู่มานาน จะยิ่งสะสมปัญหาไว้มาก - เพราะการเปลี่ยนแปลงทำได้ยาก คนกลัวเสียหน้า กลบปัญหาไว้ง่ายกว่าแก้ คนที่อยู่นานมักไม่เห็นปัญหา - เพราะ “ชินแล้ว” กลายเป็น normal ขององค์กรไปแล้ว ต้องมีคนกล้าชี้ - และที่สำคัญกว่า ต้องมีคนกล้าฟัง กล้ารับ และกล้าเปลี่ยนครับ วันนี้ผมยังเชื่อว่าทุกองค์กรแก้ไขได้ ถ้ายอมรับว่ามีปัญหา และพร้อมจะล้างหนี้ไปทีละนิด ดีกว่าปล่อยให้มันสะสมจนกลายเป็นภูเขาที่ไต่ไม่ไหว มาล้างหนี้กันเถอะครับ ผมก็ทำอยู่ทุกวัน เยอะแค่ไหนก็ต้องตั้งใจแก้ไขกันไปครับ