Lead With Influence: การเป็นผู้นำด้วยอิทธิพลโดยไม่ใช้อำนาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Matt Norman ประธานและ CEO ของ Norman & Associates ผู้ที่เป็นผู้ให้บริการหลักในอเมริกาเหนือสำหรับโปรแกรมการเรียนรู้แบบ Dale Carnegie และนำเสนอโดย Dale Carnegie and Associates องค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ
หนังสือเล่มนี้คืออะไร
“Lead With Influence” เป็นหนังสือที่เปิดเผยกระบวนการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในการสร้างอิทธิพลเชิงบวกโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจ การบีบบังคับ การจัดการ หรือการใช้กำลัง Matt Norman นำประสบการณ์มากกว่า 10 ปีจากการฝึกอบรม การทดลอง และการปฏิบัติจริงของ Dale Carnegie Training มาสร้างคู่มือปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
แกนหลักของหนังสือ: อิทธิพลเชิงบวกเป็น Superpower ที่ไม่มีใครสอน
ปัญหาของการใช้อิทธิพลแบบเดิม
วิธีการที่ไม่ได้ผล
ส่วนใหญ่คนเราใช้วิธีการเหล่านี้ในการสร้างอิทธิพล:
1. การใช้เหตุผลแบบตรรกะ (Logical Arguments)
- วิธีที่ผิด: ใช้ข้อมูล ตัวเลข และเหตุผลเป็นหลัก
- ทำไมไม่ได้ผล: มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และสังคม ไม่ใช่ตรรกะล้วนๆ
- ผลที่ได้: ความต้านทาน การเพิกเฉย หรือการต่อต้าน
2. การใช้ความกดดันซ้ำๆ (Repeated Pressure)
- วิธีที่ผิด: พูดซ้ำ ย้ำ และเพิ่มแรงกดดัน
- ทำไมไม่ได้ผล: สร้างความรู้สึกถูกบังคับและความขัดแย้ง
- ผลที่ได้: ความสัมพันธ์เสื่อมสลาย และการต่อต้าน
3. การใช้อำนาจและตำแหน่ง (Authority and Position)
- วิธีที่ผิด: อาศัยตำแหน่ง อำนาจ หรือการบังคับ
- ทำไมไม่ได้ผล: ในยุคปัจจุบัน คนต้องการการมีส่วนร่วม ไม่ใช่การสั่งการ
- ผลที่ได้: การทำตามโดยไม่เต็มใจ และขาดแรงจูงใจ
ทำไมวิธีเดิมจึงล้าสมัย
ข้อเท็จจริงสำคัญ: ข้อเท็จจริง การโต้แย้ง และการใช้ความกดดันไม่ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยสังคมและอารมณ์
การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น:
- จากการบังคับ → การสร้างแรงบันดาลใจ
- จากการใช้เหตุผล → การเชื่อมโยงอารมณ์
- จากการสั่งการ → การร่วมมือ
หลักการพื้นฐาน: การสร้างอิทธิพลเชิงบวก
1. เข้าใจธรรมชาติมนุษย์
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทางสังคมและอารมณ์:
- ความต้องการการยอมรับ: ต้องการรู้สึกว่าตนเองมีค่า
- ความต้องการการเป็นส่วนหนึ่ง: ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
- ความต้องการความหมาย: ต้องการเห็นจุดหมายในสิ่งที่ทำ
การตัดสินใจของมนุษย์:
- 70% อารมณ์: การตัดสินใจส่วนใหญ่มาจากความรู้สึก
- 30% เหตุผล: เหตุผลใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ทำไปแล้ว
2. หลักการ INFLUENCE Model
Matt Norman พัฒนา INFLUENCE Model สำหรับการสร้างอิทธิพลเชิงบวก:
I - INTEREST (ความสนใจ)
- แสดงความสนใจ: ในตัวบุคคลและความต้องการของเขา
- ฟังอย่างแท้จริง: ไม่ใช่แค่รอคิวพูด
- เข้าใจมุมมอง: ของอีกฝ่ายก่อนเสนอความคิดของตัวเอง
N - NEEDS (ความต้องการ)
- ระบุความต้องการ: ที่แท้จริงของอีกฝ่าย
- เชื่อมโยงผลประโยชน์: แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เสนอตอบสนองความต้องการ
- หาจุดร่วม: ความต้องการที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกัน
F - FEELINGS (ความรู้สึก)
- เข้าใจอารมณ์: ของอีกฝ่ายและตอบสนองอย่างเหมาะสม
- สร้างการเชื่อมโยงทางอารมณ์: ผ่านเรื่องราว ตัวอย่าง และประสบการณ์
- จัดการอารมณ์: ของตัวเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์
L - LOGIC (ตรรกะ)
- ใช้เหตุผลสนับสนุน: ไม่ใช่เป็นหลัก
- ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง: นำเสนอข้อมูลที่สำคัญและตรงจุด
- หลักฐานที่เป็นรูปธรรม: ใช้ตัวอย่างจริงและผลลัพท์ที่ชัดเจน
U - URGENCY (ความเร่งด่วน)
- สร้างความจำเป็น: แต่ไม่ใช่การบีบบังคับ
- แสดงผลกระทบ: ของการไม่ดำเนินการ
- โอกาสที่จำกัด: สร้างความรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาด
E - ENGAGEMENT (การมีส่วนร่วม)
- ให้โอกาสมีส่วนร่วม: ในการตัดสินใจและวางแผน
- รับฟังความคิดเห็น: และนำมาปรับปรุง
- สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ: ในผลลัพท์ที่เกิดขึ้น
N - NEXT STEPS (ขั้นตอนต่อไป)
- กำหนดขั้นตอนชัดเจน: สิ่งที่จะทำต่อไป
- แบ่งงานเป็นส่วนเล็ก: ให้ง่ายต่อการเริ่มต้น
- ติดตามผล: และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
C - COMMITMENT (ความมุ่งมั่น)
- ได้รับคำมั่นสัตย์: ที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
- สร้างความรับผิดชอบ: ร่วมกันในการทำให้สำเร็จ
- ระบบติดตาม: ที่ช่วยให้ทุกคนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน
เทคนิคการปฏิบัติจากหนังสือ
1. การสร้าง Connection ก่อนการสร้าง Influence
ขั้นตอนการสร้างความเชื่อมโยง:
ขั้นตอนที่ 1: Build Rapport (สร้างความสนิทสนม)
- หาจุดร่วมทางความสนใจ ประสบการณ์ หรือค่านิยม
- ใช้ภาษากายที่เปิดเผยและเป็นมิตร
- แสดงความสนใจที่แท้จริงในตัวบุคคล
ขั้นตอนที่ 2: Understand Their World (เข้าใจโลกของเขา)
- ถามคำถามเปิดเพื่อเข้าใจมุมมองของเขา
- ฟังด้วยความตั้งใจและไม่ตัดสิน
- สะท้อนความเข้าใจกลับไปให้เขาฟัง
ขั้นตอนที่ 3: Find Common Ground (หาพื้นที่ร่วม)
- ระบุเป้าหมายหรือปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกัน
- เน้นผลประโยชน์ร่วมมากกว่าความแตกต่าง
- สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันสำหรับอนาคต
2. The Story-Telling Framework
การใช้เรื่องราวในการสร้างอิทธิพล:
Structure: SOAR Model
- S - Situation: สถานการณ์ที่คล้ายกัน
- O - Obstacle: อุปสรรคที่เผชิญ
- A - Action: การกระทำที่ดำเนินการ
- R - Result: ผลลัพท์ที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างการใช้:
"ผมเคยทำงานกับบริษัทหนึ่ง (Situation) ที่เผชิญปัญหาคล้ายๆ กัน
พวกเขามีพนักงานที่ขาดแรงจูงใจ (Obstacle)
เราได้ทำการปรับเปลี่ยนระบบการสื่อสารและให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของพนักงาน (Action)
ผลที่ได้คือ พนักงานมีความผูกพันเพิ่มขึ้น 40% และผลผลิตเพิ่มขึ้น 25% (Result)"
3. The Question-Based Influence
การใช้คำถามในการสร้างอิทธิพล:
ประเภทคำถาม:
Discovery Questions (คำถามค้นพบ):
- “อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณในเรื่องนี้?”
- “ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ จะเกิดอะไรขึ้น?”
- “สิ่งที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในอดีตคืออะไร?”
Vision Questions (คำถามวิสัยทัศน์):
- “อนาคตที่เป็นไปได้ดีที่สุดจะเป็นอย่างไร?”
- “ถ้าเราทำสำเร็จ จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อทีมของคุณ?”
- “คุณอยากให้คนอื่นพูดถึงความสำเร็จนี้อย่างไร?”
Action Questions (คำถามการกระทำ):
- “ขั้นตอนแรกที่เราควรทำคืออะไร?”
- “คุณต้องการความช่วยเหลืออะไรจากผม?”
- “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราประสบความสำเร็จ?”
การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
1. การนำทีมโดยไม่มีอำนาจ
สถานการณ์: Project Manager ข้ามแผนก
ความท้าทาย:
- ไม่มีอำนาจสั่งการโดยตรง
- สมาชิกทีมมาจากหลายแผนก
- แต่ละคนมีความต้องการและแรงจูงใจที่แตกต่าง
วิธีการใช้ INFLUENCE Model:
Interest: เรียนรู้เป้าหมายส่วนตัวของแต่ละคน Needs: เชื่อมโยงโครงการกับเป้าหมายของแต่ละแผนก Feelings: สร้างความตื่นเต้นเกี่ยวกับผลลัพท์ที่เกิดขึ้น Logic: แสดงข้อมูลที่สนับสนุนความสำคัญของโครงการ Urgency: ชี้ให้เห็นผลกระทบของการล่าช้า Engagement: ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผน Next Steps: กำหนดหน้าที่และเวลาที่ชัดเจน Commitment: ได้รับการตกลงและการติดตาม
2. การขายและการเจรจา
การเปลี่ยนจากการ “ขาย” เป็นการ “ช่วยเหลือ”
แนวทางเดิม:
- เน้นคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
- ใช้ความกดดันในการปิดการขาย
- มุ่งเน้นเพียงการขาย
แนวทางใหม่ด้วย Lead With Influence:
- เข้าใจปัญหาและความต้องการของลูกค้า
- เสนอโซลูชันที่แก้ปัญหาจริง
- สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
ขั้นตอนการปฏิบัติ:
- Discovery Phase: ใช้เวลาเรียนรู้ธุรกิจและความท้าทายของลูกค้า
- Solution Design: ออกแบบโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะ
- Value Demonstration: แสดงคุณค่าผ่านเรื่องราวและกรณีศึกษา
- Collaborative Planning: วางแผนการดำเนินงานร่วมกัน
3. การจัดการความขัดแย้ง
หลักการแก้ไขความขัดแย้งด้วยอิทธิพลเชิงบวก
ขั้นตอนที่ 1: Seek First to Understand
- ฟังทุกฝ่ายด้วยใจเปิด
- ทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง
- หาความต้องการที่อยู่เบื้องหลังตำแหน่งของแต่ละฝ่าย
ขั้นตอนที่ 2: Find Common Ground
- ระบุเป้าหมายร่วมที่ทุกฝ่ายต้องการ
- เน้นผลประโยชน์ที่ทุกคนจะได้รับ
- สร้างวิสัยทัศน์ร่วมสำหรับการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 3: Collaborative Problem Solving
- ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการหาทางออก
- ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการหาทางเลือก
- ทดลองแนวทางใหม่ที่ทุกคนยอมรับได้
การประยุกต์ใช้ในบริบทไทย
วัฒนธรรมการทำงานไทย
ความท้าทายเฉพาะในบริบทไทย:
ระบบลำดับชั้น:
- การเคารพผู้อาวุโสและระบบ hierarchy
- ความยากในการแสดงความคิดเห็นขัดแย้ง
- การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง
การใช้ INFLUENCE Model ในบริบทไทย:
Interest: แสดงความเคารพและความสนใจในประสบการณ์ Needs: ใช้คำถามทางอ้อมเพื่อเข้าใจความต้องการ Feelings: ใส่ใจความรู้สึกและการรักษาหน้า Logic: นำเสนอข้อมูลอย่างสุภาพและให้เกียรติ Urgency: สร้างความเร่งด่วนโดยไม่ใส่ความกดดัน Engagement: ใช้การปรึกษาหารือมากกว่าการตัดสินใจเดี่ยว Next Steps: ให้เวลาในการพิจารณาและการตกลง Commitment: ได้รับการยืนยันที่สุภาพและชัดเจน
การนำไปใช้ในองค์กรไทย
สำหรับผู้บริหารไทย:
การสร้างอิทธิพลแบบไทย:
- ใช้การเล่าเรื่องและการยกตัวอย่าง
- สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวก่อนการทำงาน
- ให้ความสำคัญกับการรักษาหน้าของทุกฝ่าย
ตัวอย่างการปฏิบัติ:
แทนที่จะพูดว่า: "คุณต้องทำตามนี้"
ให้พูดว่า: "ผมคิดว่าแนวทางนี้อาจจะช่วยได้ คุณคิดอย่างไร?"
แทนที่จะพูดว่า: "นี่คือข้อมูลที่พิสูจน์"
ให้พูดว่า: "จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราเจอสถานการณ์คล้ายๆ กัน"
แนวคิดขั้นสูงจากหนังสือ
1. The Influence Ecosystem
การสร้างระบบอิทธิพลที่ยั่งยืน:
ระดับบุคคล:
- สร้างความน่าเชื่อถือส่วนตัว
- พัฒนาทักษะการสื่อสารและการฟัง
- เรียนรู้การอ่านภาษากายและสัญญาณทางอารมณ์
ระดับความสัมพันธ์:
- สร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง
- ให้ความช่วยเหลือก่อนขอความช่วยเหลือ
- รักษาความสัมพันธ์ระยะยาว
ระดับองค์กร:
- สร้างวัฒนธรรมการร่วมมือ
- พัฒนาระบบที่สนับสนุนการใช้อิทธิพลเชิงบวก
- วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
2. Digital Age Influence
การสร้างอิทธิพลในยุคดิจิทัล:
Virtual Communication:
- การสร้างความเชื่อมโยงผ่านหน้าจอ
- การใช้เทคโนโลยีเสริมการสื่อสาร
- การรักษาความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์
Social Media Influence:
- การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า
- การมีส่วนร่วมที่แท้จริงกับผู้ติดตาม
- การใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก
3. Measuring Influence Impact
การวัดผลของการใช้อิทธิพล:
เชิงปริมาณ:
- อัตราการตอบรับและการดำเนินการ
- ระดับการมีส่วนร่วมและความผูกพัน
- ผลลัพท์ทางธุรกิจที่วัดได้
เชิงคุณภาพ:
- คุณภาพของความสัมพันธ์
- ระดับความไว้วางใจ
- ความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลง
ข้อสังเกตและข้อจำกัด
ข้อควรระวัง
1. ไม่ใช่การจัดการหรือหลอกลวง
- หนังสือเน้นการสร้างอิทธิพลเชิงบวกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
- ไม่ใช่เทคนิคการจัดการหรือการหลอกลวง
- มุ่งเน้นการสร้าง win-win situation
2. ต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะ
- ทักษะการสร้างอิทธิพลต้องการการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
- ต้องเริ่มจากการพัฒนาตัวเองก่อน
- ผลลัพท์อาจไม่เห็นในทันที
3. ต้องปรับให้เข้ากับวัฒนธรรม
- วิธีการอาจต้องปรับให้เหมาะกับบริบทและวัฒนธรรมท้องถิ่น
- ความเข้าใจในค่านิยมและความเชื่อของแต่ละกลุ่มคนมีความสำคัญ
แบบฝึกหัดจากหนังสือ
การฝึกทักษะประจำวัน
Week 1: การพัฒนาการฟัง
วัน 1-2: ฝึกการฟังโดยไม่แทรก วัน 3-4: ฝึกการถามคำถามเปิด วัน 5-6: ฝึกการสะท้อนความเข้าใจ วัน 7: ทบทวนและประเมินผล
Week 2: การสร้างความเชื่อมโยง
วัน 1-2: ฝึกการหาจุดร่วม วัน 3-4: ฝึกการแสดงความสนใจที่แท้จริง วัน 5-6: ฝึกการสร้าง rapport วัน 7: ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง
Week 3: การใช้ INFLUENCE Model
วัน 1-7: ฝึกใช้แต่ละขั้นตอนของ INFLUENCE Model ในการสื่อสาร
การวัดผลความสำเร็จ
ตัวชี้วัดส่วนตัว:
- ระดับการตอบรับของคนรอบข้าง
- คุณภาพของความสัมพันธ์
- ความสามารถในการชักจูงโดยไม่ใช้อำนาจ
ตัวชี้วัดในงาน:
- ผลลัพท์ของโครงการและงานที่รับผิดชอบ
- ระดับการมีส่วนร่วมของทีม
- ความสำเร็จในการสื่อสารข้ามแผนก
บทเรียนสำคัญ
สำหรับผู้นำ:
- อิทธิพลเชิงบวกมีพลังมากกว่าอำนาจ ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
- การเข้าใจผู้อื่นเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพยายามให้เขาเข้าใจเรา
- การร่วมมือให้ผลดีกว่าการสั่งการ ในการสร้างแรงจูงใจและความผูกพัน
สำหรับนักขายและนักการตลาด:
- เน้นการช่วยเหลือมากกว่าการขาย จะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
- เรื่องราวมีพลังมากกว่าข้อมูล ในการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์
- การมีส่วนร่วมสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ ในการตัดสินใจซื้อ
สำหรับทุกคน:
- ทักษะการสร้างอิทธิพลเป็น superpower ที่ใครๆ ก็สามารถพัฒนาได้
- ความสำเร็จในการสร้างอิทธิพลขึ้นอยู่กับคุณภาพของความสัมพันธ์
- การให้ก่อนรับ เป็นหลักการพื้นฐานของการสร้างอิทธิพลเชิงบวก
บทสรุป
“Lead With Influence” ของ Matt Norman และ Dale Carnegie Associates เป็นหนังสือที่เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับการเป็นผู้นำและการสร้างอิทธิพล โดยแสดงให้เห็นว่า:
อิทธิพลเชิงบวกเป็น superpower ที่ทุกคนสามารถพัฒนาได้ และมีพลังมากกว่าการใช้อำนาจ การบีบบังคับ หรือการจัดการ
Key Takeaway ที่สำคัญที่สุด:
“Influence is not about getting people to do what you want. It’s about helping them see how what you want can help them get what they want.”
หนังสือเล่มนี้ให้กรอบการคิดและเครื่องมือปฏิบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทำงานกับผู้คนหลายพันคนในหลากหลายวัฒนธรรมและอุตสาหกรรม
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับ:
- ผู้นำที่ต้องการสร้างอิทธิพลโดยไม่อาศัยอำนาจ
- นักขายและนักการตลาดที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
- ทุกคนที่ต้องการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการชักจูง
- ผู้ที่ทำงานในทีมข้ามแผนกหรือองค์กรแบบเครือข่าย
“Leadership is not about being in charge. It’s about taking care of those in your charge.” - Dale Carnegie