How to Do the Work

โดย: Nicole Lepera

How to Do the Work: เมื่อการเยียวยาตนเองเป็นไปได้จริง

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Dr. Nicole LePera นักจิตวิทยาองค์รวมผู้ริเริ่มขบวนการ #SelfHealers ที่มีผู้ติดตามกว่า 6.6 ล้านคนบน Instagram

หนังสือเล่มนี้คืออะไร

“How to Do the Work” เป็น #1 New York Times Bestseller และ International Bestseller ที่ได้ปฏิวัติแนวคิดการรักษาสุขภาภาพจิตด้วยแนวทางการ เยียวยาตนเองแบบองค์รวม

แกนหลักของหนังสือ: การปฏิวัติการรักษาสุขภาพจิต

หนังสือเล่มนี้เป็นทั้ง แถลงการณ์สำหรับการเยียวยาตนเอง และ คู่มือสำคัญในการสร้างชีวิตที่มีชีวิตชีวา แท้จริง และเต็มไปด้วยความสุข

การท้าทายการรักษาแบบดั้งเดิม

ปัญหาของการบำบัดแบบเดิม

Dr. LePera พบว่าการบำบัดทางจิตวิทยาแบบดั้งเดิมมีข้อจำกัด:

ข้อจำกัดที่สำคัญ:

  • แยกจิตใจออกจากร่างกาย ไม่เห็นความเชื่อมโยง
  • เน้นอาการมากกว่าสาเหตุ ไม่ไปถึงรากเหง้าของปัญหา
  • ผู้ป่วยเป็นฝ่ายรับ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการรักษาตัวเอง
  • ไม่คำนึงถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต

การปฏิวัติด้วยแนวทางใหม่

Dr. LePera เสนอแนวทาง Holistic Psychology ที่:

1. มองคนเป็นองค์รวม

  • จิต ร่างกาย และจิตวิญญาณ เชื่อมโยงกัน
  • ประสบการณ์ในอดีต ส่งผลต่อร่างกายในปัจจุบัน
  • สิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลต่อสุขภาพจิต

2. ให้อำนาจแก่บุคคล

  • ทุกคนมีพลังในการเยียวยาตนเอง
  • เครื่องมือที่ใช้ได้จริง ในชีวิตประจำวัน
  • การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน เกิดจากภายใน

งานวิจัยและหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์

การผสมผสานความรู้หลายสาขา

หนังสือเล่มนี้อิงจาก งานวิจัยล่าสุดจากหลากหลายสาขาวิทยาศาสตร์:

1. ประสาทวิทยา (Neuroscience)

  • Neuroplasticity: ความสามารถของสมองในการปรับเปลี่ยน
  • การทำงานของระบบประสาท ในสถานการณ์เครียด
  • ผลกระทบของบาดแผลต่อสมอง

2. จิตวิทยาพัฒนาการ

  • ผลกระทบของประสบการณ์ในวัยเด็ก
  • การสร้างรูปแบบพฤติกรรม
  • พัฒนาการทางอารมณ์

3. วิทยาศาสตร์การเยียวยา

  • การเชื่อมโยงจิต-ร่างกาย
  • ระบบภูมิคุ้มกันและความเครียด
  • การรักษาแบบผสมผสาน

การทำความเข้าใจบาดแผลและผลกระทบ

บาดแผลในวัยเด็กและผลที่ตามมา

ประเภทของบาดแผล

1. บาดแผลที่เห็นได้ชัด:

  • การถูกทำร้ายร่างกาย
  • การถูกทำร้ายทางเพศ
  • การถูกทอดทิ้ง

2. บาดแผลที่แอบแฝง:

  • การขาดความปลอดภัยทางอารมณ์
  • การไม่ได้รับการเห็นใจ
  • การถูกละเลยความต้องการ
  • สิ่งแวดล้อมที่ไม่คาดเดาได้

ผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ

การตอบสนองต่อความเครียดที่เป็นอันตราย:

บาดแผลในวัยเด็ก

ระบบประสาทอยู่ในสถานะเตรียมพร้อม

การตอบสนองต่อความเครียดเรื้อรัง

ความล้มเหลวของระบบภูมิคุ้มกัน

ความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ

รูปแบบพฤติกรรมที่เป็นพิษ

การพึ่งพิง (Codependency)

ลักษณะที่พบบ่อย:

  • ใส่ใจผู้อื่นมากกว่าตนเอง
  • ไม่สามารถปฏิเสธได้
  • ความรู้สึกผิดเมื่อดูแลตนเอง
  • การหาค่าของตนเองจากการถูกต้องการ

ความไม่เป็นผู้ใหญ่ทางอารมณ์

พฤติกรรมที่เป็นสัญญาณ:

  • หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
  • ไม่สามารถจัดการอารมณ์ได้
  • คาดหวังให้ผู้อื่นดูแล
  • การตอบสนองแบบเด็กเมื่อไม่ได้ดังใจ

ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Trauma Bonds)

รูปแบบที่อันตราย:

  • กลับไปหาคนที่ทำร้าย
  • ความสับสนระหว่างรักกับการเจ็บปวด
  • การยึดติดกับความไม่แน่นอน

การเริ่มต้นการเยียวยาตนเอง

ขั้นตอนที่ 1: การตระหนักรู้ (Self-Awareness)

การสังเกตรูปแบบพฤติกรรม

เครื่องมือสำคัญ:

1. การบันทึกประจำวัน

เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกไม่สบายใจ?
สิ่งใดเป็นตัวกระตุ้น?
ฉันตอบสนองอย่างไร?
ความรู้สึกนี้คุ้นเคยไหม?

2. การเชื่อมโยงร่างกายกับอารมณ์

  • สังเกตความตึงเครียดในกล้ามเนื้อ
  • สังเกตการเปลี่ยนแปลงของการหายใจ
  • รู้สึกความอึดอัดในท้องหรือหน้าอก

3. การระบุรูปแบบในความสัมพันธ์

  • คุณดึงดูดคนประเภทไหน?
  • คุณมีบทบาทอะไรในความสัมพันธ์?
  • คุณทำซ้ำการโต้เถียงหรือความขัดแย้งเดิมๆ ไหม?

ขั้นตอนที่ 2: การเข้าใจที่มา (Understanding Origins)

การเชื่อมโยงกับอดีต

คำถามสำคัญ:

  • ครอบครัวของฉันจัดการกับอารมณ์อย่างไร?
  • ฉันได้เรียนรู้รูปแบบนี้จากที่ไหน?
  • ใครเป็นแบบอย่างในการแสดงออกทางอารมณ์?
  • ฉันได้รับความปลอดภัยทางอารมณ์หรือไม่?

การยอมรับโดยไม่ตัดสิน

หลักการสำคัญ:

  • ไม่โทษใครทั้งตนเองและผู้อื่น
  • เข้าใจว่าทุกคนทำดีที่สุดด้วยข้อมูลที่มี
  • โฟกัสที่การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

ขั้นตอนที่ 3: การสร้างการเปลี่ยนแปลง (Creating Change)

การฝึกฝนใหม่ (Reparenting Yourself)

แนวคิดหลัก: การให้สิ่งที่เราขาดหายไปในวัยเด็กแก่ตัวเอง

วิธีปฏิบัติ:

1. การดูแลตนเองอย่างมีเมตตา

เปลี่ยนจาก:
- "ฉันโง่จัง" → "ฉันกำลังเรียนรู้"
- "ฉันต้องแข็งแกร่ง" → "ฉันสามารถรู้สึกเปราะบางได้"
- "ฉันไม่มีสิทธิ์เศร้า" → "อารมณ์ของฉันสำคัญ"

2. การสร้างขอบเขตที่ดีต่อสุขภาพ

  • เรียนรู้การปฏิเสธอย่างมีเมตตา
  • แยกแยะความต้องการของตนเองจากผู้อื่น
  • สร้างเวลาส่วนตัวสำหรับการพักผ่อน

3. การจัดการอารมณ์อย่างแข็งขัน

  • ยอมให้อารมณ์เกิดขึ้นและผ่านไป
  • ไม่หนีหรือปกปิดอารมณ์
  • ใช้อารมณ์เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ

เครื่องมือปฏิบัติสำหรับการเยียวยา

การดูแลร่างกายเพื่อรักษาจิตใจ

1. การฝึกสมาธิและการหายใจ

เทคนิคการหายใจ 4-7-8:

หายใจเข้า 4 วินาที
กลั้นหายใจ 7 วินาที
หายใจออก 8 วินาที
ทำซ้ำ 4-8 รอบ

ประโยชน์:

  • ลดความเครียดและความวิตกกังวล
  • เปิดใช้งานระบบประสาทพาราซิมพาเธติก
  • ปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ

2. การออกกำลังกายเพื่อปล่อยอารมณ์

กิจกรรมที่แนะนำ:

  • การเดินในธรรมชาติ - ลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกดี
  • โยคะ - เชื่อมโยงร่างกายกับจิตใจ
  • การออกกำลังกายแบบ HIIT - ปล่อยอารมณ์ที่กักขัง
  • การเต้นรำ - แสดงออกทางอารมณ์อย่างอิสระ

3. การปรับปรุงคุณภาพการนอน

โครงการนอนเพื่อการเยียวยา:

20:00 - หยุดใช้หน้าจอทั้งหมด
20:30 - ดื่มชาคาโมไมล์หรือแม็กนีเซียม
21:00 - อ่านหนังสือหรือเขียนบันทึกความรู้สึก
21:30 - ฝึกการหายใจหรือทำสมาธิ
22:00 - เข้านอน

การปรับปรุงความสัมพันธ์

การสื่อสารอย่างแท้จริง

สูตร “I” Statement:

"ฉันรู้สึก [อารมณ์]
เมื่อ [สถานการณ์เฉพาะ]
เพราะ [ผลกระทบต่อคุณ]
ฉันต้องการ [ความต้องการเฉพาะ]"

ตัวอย่าง:

  • “คุณไม่เคยฟังฉันเลย!”
  • “ฉันรู้สึกไม่ถูกเข้าใจเมื่อฉันพูดแล้วคุณดูโทรศัพท์ เพราะฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันพูดไม่สำคัญ ฉันต้องการให้คุณมองตาฉันเมื่อเราคุยกัน”

การตั้งขอบเขตที่ดีต่อสุขภาพ

ประเภทของขอบเขต:

1. ขอบเขตทางอารมณ์

  • ไม่รับผิดชอบอารมณ์ของผู้อื่น
  • ไม่ให้ผู้อื่นกำหนดความรู้สึกของเรา

2. ขอบเขตทางกายภาพ

  • การสัมผัสที่ทำให้รู้สึกสบาย
  • พื้นที่ส่วนตัวที่จำเป็น

3. ขอบเขตเรื่องเวลาและพลังงาน

  • การปฏิเสธคำขอที่เกินขอบเขต
  • การจัดลำดับความสำคัญของตนเอง

การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

การสร้างวันใหม่ที่เยียวยา

ช่วงเช้า: การตั้งจุดมุ่งหมาย

กิจวัตรเช้าเพื่อการเยียวยา (30 นาที):

5 นาที - การหายใจและการตั้งจุดมุ่งหมาย
10 นาที - เขียนบันทึกความรู้สึก (stream of consciousness)
10 นาที - การออกกำลังกายเบาๆ หรือยืดเส้น
5 นาที - การขอบคุณและการตั้งเจตนา

คำถามสำหรับการตั้งเจตนา:

  • วันนี้ฉันต้องการรู้สึกอย่างไร?
  • ฉันจะดูแลตัวเองอย่างไรวันนี้?
  • ฉันจะแสดงออกอย่างแท้จริงอย่างไร?

ช่วงกลางวัน: การตรวจสอบตนเอง

การหยุดพักเพื่อการตระหนักรู้ (5 นาที ทุก 2-3 ชั่วโมง):

ฉันรู้สึกอย่างไรตอนนี้?
ร่างกายฉันกำลังส่งสัญญาณอะไร?
ฉันต้องการอะไรในช่วงเวลานี้?

ช่วงเย็น: การสะท้อนและปล่อยวาง

กิจวัตรเย็นเพื่อการปล่อยวาง (20 นาที):

5 นาที - เขียนสิ่งที่เรียนรู้วันนี้
5 นาที - เขียนสิ่งที่ขอบคุณ
5 นาที - ปล่อยวางสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
5 นาที - การหายใจเพื่อการผ่อนคลาย

การจัดการกับสถานการณ์ท้าทาย

เมื่อรู้สึกถูกกระตุ้น (Triggered)

ขั้นตอน STOP Technique:

S - Stop (หยุด)

  • สังเกตว่าคุณกำลังตอบสนองแบบอัตโนมัติ
  • หยุดก่อนที่จะพูดหรือทำอะไร

T - Take a Breath (หายใจ)

  • หายใจลึกๆ 3 ครั้ง
  • สังเกตความรู้สึกในร่างกาย

O - Observe (สังเกต)

  • อะไรกระตุ้นฉัน?
  • ฉันรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่ในอดีต?
  • สิ่งนี้เตือนฉันถึงอะไร?

P - Proceed Mindfully (ดำเนินต่อด้วยสติ)

  • เลือกการตอบสนองแทนการปฏิกิริยา
  • ตอบจากความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่จากบาดแผล

การประยุกต์ใช้ในบริบทไทย

การปรับแนวคิดให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย

ความเข้ากันได้กับภูมิปัญญาไทย

จุดเชื่อมต่อที่สำคัญ:

1. การแพทย์แผนไทยและแนวคิดองค์รวม

  • การมองคนเป็นองค์รวมของ ธาตุ โลหิต เนื้อ ผิว
  • การรักษาที่คำนึงถึงจิต ร่างกาย และสิ่งแวดล้อม
  • การป้องกันโรคด้วยการใช้ชีวิตให้สมดุล

2. หลักธรรมพุทธกับการเยียวยาตนเอง

  • สติ (Mindfulness) ใน Buddhism ≈ Self-Awareness ใน Holistic Psychology
  • ความเข้าใจในความทุกข์ และการหลุดพ้น
  • การปฏิบัติเพื่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยตนเอง

การปรับประยุกต์ในครอบครัวไทย

เข้าใจบริบทครอบครัวไทย:

ข้อท้าทายในวัฒนธรรมไทย:

  • ระบบลำดับชั้นที่เข้มงวด อาจขัดขวางการแสดงออกที่แท้จริง
  • วัฒนธรรม “กรุณา” ที่อาจนำไปสู่การพึ่งพิง
  • การเก็บอารมณ์ไว้ข้างใน เพื่อรักษาสันติภาพ
  • ความกลัวการสูญหน้า ที่ขัดขวางการขอความช่วยเหลือ

การปรับประยุกต์:

สำหรับพ่อแม่ไทย:

เปลี่ยนจาก:
- "เด็กดีต้องฟังพ่อแม่" → "เด็กที่ดีคือเด็กที่รู้จักคิดและเลือก"
- "ทำเพื่อหน้าตาครอบครัว" → "ทำเพราะรักและเข้าใจ"
- "อย่าทำให้พ่อแม่เสียหน้า" → "พ่อแม่รักลูกไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"

สำหรับลูกหลานไทย:

  • เรียนรู้การเคารพพ่อแม่ขณะเดียวกันกับการดูแลตนเอง
  • สร้างขอบเขตด้วยความเมตตาและเคารพ
  • ใช้ภาษาที่เหมาะสมในการสื่อสารความต้องการ

การนำไปใช้ในที่ทำงานไทย

สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการเยียวยา

สำหรับผู้บริหาร:

  • ส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
  • ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงาน
  • สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยสำหรับการเรียนรู้จากความผิดพลาด

สำหรับพนักงาน:

  • การจัดการความเครียดจากงาน
  • การสร้างขอบเขตระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว
  • การขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น

ข้อสังเกตและข้อจำกัด

สิ่งที่ควรระวัง

1. ไม่ใช่การทำลายการรักษาแบบดั้งเดิม

ข้อเข้าใจผิดที่พบบ่อย:

  • คิดว่าต้องเลิกการรักษาแบบดั้งเดิมทั้งหมด
  • เชื่อว่าการเยียวยาตนเองสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้

ความจริง:

  • การเยียวยาตนเองเป็นการ เสริม ไม่ใช่การแทนที่
  • กรณีที่รุนแรงยังต้องการการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ
  • การรวมทั้งสองแนวทางให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

2. ต้องใช้เวลาและความอดทน

การคาดหวังที่ไม่สมจริง:

  • ต้องการผลลัพธ์ทันที
  • คิดว่าการอ่านหนังสือแล้วจะเปลี่ยนแปลงทันที

ความเป็นจริง:

  • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพฤติกรรมต้องใช้เวลา 3-6 เดือน
  • การเยียวยาบาดแผลลึกอาจใช้เวลา หลายปี
  • ต้องการการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

3. อาจไม่เหมาะกับทุกคน

กลุ่มที่ควรระวัง:

  • ผู้ที่มีปัญหาทางจิตเภทรุนแรง
  • ผู้ที่อยู่ในช่วงวิกฤตเฉียบพลัน
  • ผู้ที่มีแนวโน้มทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น

การใช้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

แนวทางที่แนะนำ

1. เริ่มต้นค่อยเป็นค่อยไป

  • เลือกเทคนิค 1-2 อย่างมาลองใช้ก่อน
  • ให้เวลาตัวเองปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง
  • อย่าพยายามเปลี่ยนทุกอย่างพร้อมกัน

2. หาการสนับสนุน

  • เข้าร่วมกลุ่ม #SelfHealers หรือชุมชนที่สนับสนุน
  • แบ่งปันประสบการณ์กับเพื่อนหรือครอบครัว
  • ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

3. ปรับให้เข้ากับบริบทของตนเอง

  • คำนึงถึงวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม
  • ปรับเทคนิคให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์
  • อย่าเปรียบเทียบความก้าวหน้าของตัวเองกับผู้อื่น

การวัดผลและการติดตาม

ตัวชี้วัดความสำเร็จ

ระดับอารมณ์และจิตใจ

ความสามารถในการจัดการอารมณ์:

  • ลดความถี่ของการตอบสนองแบบอัตโนมัติ
  • เพิ่มความสามารถในการหยุดและเลือกการตอบสนอง
  • มีความเข้าใจในตัวกระตุ้นและรูปแบบของตนเอง

สุขภาพจิตโดยรวม:

  • ลดระดับความวิตกกังวลและซึมเศร้า
  • เพิ่มความรู้สึกมีเสถียรภาพทางอารมณ์
  • มีพลังงานและแรงจูงใจในการใช้ชีวิต

ระดับความสัมพันธ์

คุณภาพของความสัมพันธ์:

  • การสื่อสารที่เปิดเผยและแท้จริงมากขึ้น
  • ความสามารถในการตั้งและรักษาขอบเขต
  • ความสัมพันธ์ที่สนับสนุนการเติบโตซึ่งกันและกัน

การเลือกคู่ความสัมพันธ์:

  • ดึงดูดคนที่มีสุขภาพจิตดี
  • หลีกเลี่ยงรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ
  • เลือกคนที่เห็นใจและสนับสนุนการเติบโต

ระดับร่างกาย

สุขภาพกายที่ดีขึ้น:

  • คุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น
  • ระดับพลังงานที่สม่ำเสมอ
  • ลดอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เครื่องมือการติดตาม

การบันทึกประจำวัน

แบบฟอร์มการติดตาม (ทำทุกเย็น):

วันที่: ___________

อารมณ์วันนี้ (1-10): ___
พลังงาน (1-10): ___
ความเครียด (1-10): ___

สถานการณ์ที่ท้าทาย:
_________________________

วิธีที่ฉันจัดการ:
_________________________

สิ่งที่เรียนรู้:
_________________________

สิ่งที่ขอบคุณ:
_________________________

การประเมินรายเดือน

คำถามสำหรับการสะท้อน:

  1. ฉันเติบโตในด้านใดบ้างเดือนนี้?
  2. ความท้าทายที่ยังเหลืออยู่คืออะไร?
  3. เทคนิคใดที่ได้ผลดีที่สุด?
  4. สิ่งใดที่ต้องปรับปรุง?
  5. เป้าหมายของเดือนหน้าคืออะไร?

บทเรียนสำคัญจากหนังสือ

สำหรับผู้ที่ต้องการเยียวยาตนเอง

  1. คุณไม่ได้เสียหาย - คุณมีพลังในการเปลี่ยนแปลง
  2. การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ - แต่ต้องใช้เวลาและความอดทน
  3. คุณไม่ได้อยู่คนเดียว - มีชุมชนที่พร้อมสนับสนุน

สำหรับครอบครัวและผู้ปกครอง

  1. สร้างความปลอดภัยทางอารมณ์ ให้ลูกตั้งแต่เล็ก
  2. เป็นแบบอย่างการจัดการอารมณ์ ที่ดี
  3. ยอมรับและเห็นใจความรู้สึก ของลูก

สำหรับผู้ดูแลสุขภาพ

  1. มองคนเป็นองค์รวม ไม่ใช่แค่อาการ
  2. ให้อำนาจแก่ผู้รับการรักษา ในการดูแลตนเอง
  3. ผสมผสานแนวทางการรักษา สำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

บทสรุป

“How to Do the Work” ของ Dr. Nicole LePera เป็นมากกว่าหนังสือ เป็น คู่มือการปฏิวัติชีวิต ที่แสดงให้เห็นว่า การเยียวยาตนเองเป็นไปได้จริง

Key Takeaway ที่สำคัญที่สุด:

“You are not broken. You are not behind. You are exactly where you need to be to begin healing.”

การเปลี่ยนแปลงที่หนังสือเล่มนี้นำมา:

  1. ระดับบุคคล: เข้าใจและเยียวยาตนเองอย่างลึกซึ้ง
  2. ระดับครอบครัว: สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต
  3. ระดับชุมชน: เชื่อมต่อกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน
  4. ระดับสังคม: เปลี่ยนแปลงมุมมองเรื่องสุขภาพจิต

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่อธิบายปัญหา แต่ยังให้ เครื่องมือที่ใช้ได้จริง สำหรับการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

เหมาะสำหรับ:

  • ผู้ที่รู้สึกติดอยู่ในรูปแบบเก่าๆ ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
  • คนที่ต้องการเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างจิตใจและร่างกาย
  • ผู้ปกครองที่ต้องการหลุดพ้นจากการถ่ายทอดบาดแผลให้ลูก
  • ผู้ดูแลสุขภาพที่ต้องการแนวทางใหม่ในการรักษา
  • ทุกคนที่เชื่อว่าตนเองมีพลังในการสร้างชีวิตที่แท้จริงและเต็มไปด้วยความสุข

“Healing is not about returning to who you were. It’s about becoming who you were always meant to be.” - Dr. Nicole LePera