เกี่ยวกับหนังสือ “168 Hours”
“168 Hours” โดย Laura Vanderkam เป็นหนังสือที่ท้าทายความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับเวลาและการจัดการชีวิต หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 168 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ความแตกต่างอยู่ที่วิธีการใช้เวลานั้น
Vanderkam ใช้ข้อมูลการวิจัยและตัวอย่างจากชีวิตจริงเพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้คนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขก็ยังสามารถมีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญทั้งหมดได้ ไม่ว่าจะเป็นงาน ครอบครัว การดูแลสุขภาพ และการพัฒนาตนเอง
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่อีกหนึ่งเล่มเกี่ยวกับการบริหารเวลา แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเวลาและวิธีการสร้างชีวิตที่มีความหมายและความสุข
แนวคิดหลัก: 168 ชั่วโมงแห่งความเป็นไปได้
การมองเวลาในมุมใหม่
เปลี่ยนจากการคิดรายวัน เป็น รายสัปดาห์:
- มองภาพรวมทั้งสัปดาห์แทนที่จะติดอยู่กับรายวัน
- สร้างความยืดหยุ่นในการจัดสรรเวลา
- เข้าใจว่าบางวันอาจยุ่งมาก แต่บางวันอาจมีเวลาว่างมากกว่า
การหยุดบ่นเรื่องไม่มีเวลา:
- ตระหนักว่าการบอกว่า “ไม่มีเวลา” แท้จริงแล้วหมายถึง “ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ”
- เริ่มใช้ภาษาที่แสดงการเลือกและการจัดลำดับความสำคัญ
- เข้าใจว่าทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่ทำการเลือกที่แตกต่างกัน
168 ชั่วโมงคำนวณได้อย่างไร:
- 7 วัน × 24 ชั่วโมง = 168 ชั่วโมง
- หักเวลานอน 8 ชั่วโมง/วัน (56 ชั่วโมง/สัปดาห์) = 112 ชั่วโมง
- หักเวลาทำงาน 50 ชั่วโมง/สัปดาห์ = 62 ชั่วโมงที่เหลือ
- ยังคงเหลือเวลา 8-9 ชั่วโมงต่อวันสำหรับสิ่งอื่นๆ
หลักการจัดการ 168 ชั่วโมง
1. การระบุสิ่งที่สำคัญจริงๆ (Core Competencies)
การหาจุดแข็งส่วนตัว:
- ระบุสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดและสร้างมูลค่าสูงสุด
- มุ่งเน้นเวลาไปที่งานที่ใช้จุดแข็งเหล่านี้
- ลดเวลาที่ใช้กับงานที่คนอื่นทำได้ดีกว่า
การกำหนดค่านิยมชีวิต:
- เข้าใจว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต
- จัดสรรเวลาให้สอดคล้องกับค่านิยมเหล่านี้
- เรียนรู้ที่จะบอกไม่กับสิ่งที่ไม่สอดคล้อง
การประยุกต์ใช้ในบริบทไทย:
- เข้าใจว่าความสำเร็จในสังคมไทยหมายถึงอะไรสำหรับคุณ
- สร้างสมดุลระหว่างความคาดหวังของครอบครัวและเป้าหมายส่วนตัว
- ใช้วัฒนธรรมไทยเรื่องการช่วยเหลือกันในการจัดการเวลา
2. การวางแผนล่วงหน้า (Strategic Planning)
การสร้างแผนรายสัปดาห์:
- วางแผนสัปดาห์หน้าในทุกวันศุกร์
- จัดลำดับความสำคัญของงานและกิจกรรม
- เหลือที่ว่างสำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิด
การ Block Time สำหรับสิ่งสำคัญ:
- กำหนดเวลาคงที่สำหรับงานที่สำคัญ
- ปกป้องเวลาเหล่านี้เหมือนการนัดหมายที่สำคัญ
- สร้างกิจวัตรที่สนับสนุนเป้าหมายระยะยาว
การเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน:
- มีแผนสำรองเมื่อแผนหลักไม่เป็นไปตามที่คิด
- เรียนรู้ที่จะปรับแผนได้อย่างยืดหยุ่น
- สร้างเวลาบัฟเฟอร์สำหรับงานที่อาจใช้เวลานานกว่าคาด
3. การมอบหมายและการซื้อเวลา (Delegation and Outsourcing)
งานที่ควรมอบหมายหรือจ้างคนทำ:
- งานบ้านที่ไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษ
- งานธุรการที่ทำซ้ำๆ
- งานที่คนอื่นทำได้ดีกว่าและราคาไม่แพง
การคำนวณมูลค่าเวลา:
- คิดว่าเวลาหนึ่งชั่วโมงของคุณมีค่าเท่าไร
- เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการจ้างคนอื่น
- ลงทุนในการประหยัดเวลาเพื่อกิจกรรมที่สร้างมูลค่าสูงกว่า
การปรับใช้ในสังคมไทย:
- ใช้บริการที่มีอยู่ เช่น การจัดส่งอาหาร การซักรีด
- หาผู้ช่วยงานบ้านที่เหมาะสม
- ใช้เทคโนโลยีช่วยประหยัดเวลา
4. การจัดการงานประจำ (Optimizing Routine Tasks)
การทำงานเป็นชุด (Batching):
- จัดกลุ่มงานที่คล้ายกันมาทำพร้อมกัน
- ลดเวลาในการเปลี่ยนบริบทความคิด
- เพิ่มประสิทธิภาพผ่านการทำงานแบบ flow
การลดการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ:
- สร้างกิจวัตรสำหรับสิ่งที่ทำทุกวัน
- เตรียมตัวเลือกไว้ล่วงหน้า
- ใช้ระบบอัตโนมัติเมื่อเป็นไปได้
การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด:
- เลือกใช้แอปและเครื่องมือที่ช่วยประหยัดเวลา
- ตั้งค่าการแจ้งเตือนอย่างมีสติ
- ใช้ระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรण์
การสร้างสมดุลชีวิต-การงาน
การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การมุ่งเน้นผลลัพธ์มากกว่าเวลา:
- วัดผลจากสิ่งที่สำเร็จ ไม่ใช่จากชั่วโมงที่ใช้
- หาวิธีทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นแต่มีคุณภาพ
- เรียนรู้ที่จะทำงานเมื่อมีพลังงานสูงสุด
การจัดการเวลาทำงานให้เหมาะสม:
- ระบุช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
- ทำงานที่ต้องใช้สมองมากในช่วงเวลาดี
- ใช้เวลาที่เหลือสำหรับงานที่ไม่ต้องคิดมาก
การหยุดทำงานอย่างมีสติ:
- กำหนดเวลาเลิกงานที่ชัดเจน
- มีพิธีกรรมในการปิดงาน
- แยกเวลาส่วนตัวและเวลาทำงานให้ชัดเจน
การใช้เวลากับครอบครัว
คุณภาพมากกว่าปริมาณ:
- ให้ความสนใจเต็มที่เมื่ออยู่กับครอบครัว
- สร้างกิจกรรมที่มีความหมายร่วมกัน
- มีเวลาตัวต่อตัวกับสมาชิกแต่ละคน
การมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูก:
- วางแผนกิจกรรมร่วมกันล่วงหน้า
- สอนลูกให้มีความเป็นอิสระตามวัย
- สร้างความทรงจำที่ดีร่วมกัน
การดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว:
- วางแผนการดูแลร่วมกับพี่น้อง
- ใช้เทคโนโลยีช่วยในการติดตาม
- สร้างสมดุลระหว่างการดูแลและชีวิตส่วนตัว
การดูแลสุขภาพและการพัฒนาตนเอง
การออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพ:
- เลือกกิจกรรมที่ชอบและสามารถทำได้สม่ำเสมอ
- รวมการออกกำลังกายเข้ากับกิจกรรมอื่น
- ใช้เวลาการเดินทางในการออกกำลังกาย
การเรียนรู้ตลอดชีวิต:
- ใช้เวลาเดินทางในการเรียนรู้
- เลือกเรียนรู้สิ่งที่สนใจและเป็นประโยชน์
- สร้างเครือข่ายการเรียนรู้กับผู้อื่น
กลยุทธ์เฉพาะสำหรับการใช้ชีวิตในไทย
การจัดการการเดินทาง
การใช้เวลาการเดินทางให้เป็นประโยชน์:
- ฟังพอดแคสต์หรือหนังสือเสียง
- ทำการบ้านหรือเตรียมตัวสำหรับงาน
- ใช้เวลานี้ในการพัฒนาทักษะใหม่
การลดเวลาการเดินทาง:
- เลือกที่อยู่อาศัยที่ใกล้กับที่ทำงาน
- ใช้การทำงานจากที่บ้านเมื่อเป็นไปได้
- วางแผนการเดินทางอย่างมีกลยุทธ์
การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ:
- วางแผนเส้นทางให้มีประสิทธิภาพ
- ใช้เวลารอและเดินทางในการทำงาน
- มีแผนสำรองเมื่อมีปัญหา
การจัดการวัฒนธรรมการทำงานแบบไทย
การปรับตัวกับการประชุมและการพบปะ:
- เตรียมตัวให้ดีเพื่อให้การประชุมมีประสิทธิภาพ
- เรียนรู้ที่จะนำการสนทนาไปสู่การตัดสินใจ
- ใช้เวลาสังสรรค์ในการสร้างความสัมพันธ์
การจัดการความคาดหวังจากผู้บังคับบัญชา:
- สื่อสารเกี่ยวกับลำดับความสำคัญ
- แสดงผลงานและความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ
- สร้างขอบเขตที่ชัดเจนสำหรับการทำงาน
การใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมไทย
การใช้สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม:
- ตื่นเช้าเพื่อใช้ประโยชน์จากอากาศเย็น
- ใช้สวนสาธารณะและพื้นที่กลางแจ้งในการออกกำลังกาย
- ปรับกิจกรรมตามฤดูกาล
การใช้ประโยชน์จากอาหารและวัฒนธรรมไทย:
- ใช้อาหารไทยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- เรียนรู้จากปรัชญาไทยเรื่องการใช้ชีวิต
- สร้างชุมชนและเครือข่ายสนับสนุน
วิธีการติดตามและวัดผล
การบันทึกเวลา (Time Tracking)
วิธีการบันทึกเวลา:
- บันทึกกิจกรรมทุกอย่างเป็นเวลา 1 สัปดาห์
- ใช้แอปหรือสมุดบันทึกที่เหมาะกับตัวเอง
- บันทึกทั้งเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว
การวิเคราะห์ข้อมูล:
- ดูว่าเวลาจริงไปที่ไหนบ้าง
- เปรียบเทียบกับที่คิดว่าใช้เวลากับอะไร
- หาพฤติกรรมที่เสียเวลาโดยไม่จำเป็น
การปรับปรุงจากข้อมูล:
- ตั้งเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้
- ทดลองวิธีใหม่เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์
- ติดตามผลและปรับปรุงต่อไป
การกำหนดเป้าหมายและการติดตาม
การตั้งเป้าหมาย SMART:
- Specific: เป้าหมายที่ชัดเจน
- Measurable: วัดได้
- Achievable: ทำได้จริง
- Relevant: เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สำคัญ
- Time-bound: มีกรอบเวลา
การติดตามความก้าวหน้า:
- ทบทวนเป้าหมายทุกสัปดาห์
- ปรับแผนเมื่อจำเป็น
- ฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ
ประโยชน์ของการปรับใช้หลักการ 168 ชั่วโมง
ประโยชน์ส่วนบุคคล
ความรู้สึกควบคุมชีวิตได้:
- ลดความเครียดจากการรู้สึกว่าเวลาไม่พอ
- เพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ
- สร้างความรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย
การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง:
- มีเวลาสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ
- สามารถติดตามความสนใจและงานอดิเรก
- สร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว
สุขภาพทั้งกายและใจที่ดีขึ้น:
- มีเวลาออกกำลังกายและดูแลสุขภาพ
- ลดความเครียดจากการจัดการเวลาที่ดีขึ้น
- มีเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชอบ
ประโยชน์ต่อความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แข็งแกร่ง:
- มีคุณภาพเวลาที่ใช้ร่วมกัน
- สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมสำคัญ
- สร้างความทรงจำที่ดีร่วมกัน
ความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีขึ้น:
- ทำงานได้มีประสิทธิภาพและตรงเวลา
- มีเวลาช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน
- สร้างชื่อเสียงในเรื่องการจัดการเวลา
เครือข่ายและมิตรภาพที่กว้างขึ้น:
- มีเวลาสำหรับกิจกรรมสังคม
- สามารถรักษาความสัมพันธ์เก่าและสร้างใหม่
- มีส่วนร่วมในชุมชนและสังคม
ประโยชน์ทางอาชีพ
ความก้าวหน้าในการทำงาน:
- มีเวลาพัฒนาทักษะที่จำเป็น
- สามารถรับงานที่ท้าทายมากขึ้น
- สร้างชื่อเสียงในเรื่องการจัดการเวลา
การสร้างรายได้หลากหลาย:
- มีเวลาสำหรับโครงการข้าง
- พัฒนาทักษะที่สามารถสร้างรายได้เพิ่ม
- สามารถลงทุนเวลาในสิ่งที่จะให้ผลตอบแทนระยะยาว
การนำไปปฏิบัติ
สำหรับผู้เริ่มต้น
สัปดาห์แรก: การสำรวจ
- บันทึกการใช้เวลาทั้งสัปดาห์
- ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แค่สังเกต
- วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้
สัปดาห์ที่ 2-3: การทดลอง
- เลือกปรับเปลี่ยน 1-2 สิ่งเล็กๆ
- ทดลองเทคนิคใหม่
- ติดตามผลและปรับปรุง
เดือนแรก: การสร้างนิสัย
- สร้างกิจวัตรใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
- ปรับแผนตามที่เรียนรู้
- เริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์
การปรับแต่งระบบ:
- ทบทวนระบบที่ใช้อยู่
- หาจุดที่ยังปรับปรุงได้
- ทดลองเทคนิคใหม่ที่ท้าทาย
การขยายผลกระทบ:
- แบ่งปันเทคนิคกับคนอื่น
- เป็นพี่เลี้ยงในเรื่องการจัดการเวลา
- สร้างระบบที่ช่วยให้ทีมงานมีประสิทธิภาพขึ้น
บทเรียนสำคัญ
การเปลี่ยนมุมมอง
จากการขาดแคลน สู่ ความอุดมสมบูรณ์:
- เปลี่ยนจากคิดว่า “ไม่มีเวลา” เป็น “มีเวลาเยอะ”
- มองเห็นโอกาสในทุกช่วงเวลา
- เข้าใจว่าเวลาเป็นทรัพยากรที่สามารถจัดการได้
การตัดสินใจอย่างมีสติ:
- ทุกการตัดสินใจเรื่องเวลาเป็นการสะท้อนค่านิยม
- การบอกไม่เป็นทักษะที่สำคัญ
- การลงทุนเวลาในสิ่งที่สำคัญจะให้ผลตอบแทนสูง
การสร้างผลกระทบ
เริ่มจากตัวเอง:
- เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและพฤติกรรมของตัวเอง
- สร้างระบบที่ทำงานกับชีวิตจริง
- อดทนและให้เวลากับการเปลี่ยนแปลง
การขยายผลสู่คนรอบข้าง:
- เป็นตัวอย่างในการจัดการเวลาที่ดี
- แบ่งปันเทคนิคและประสบการณ์
- สร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการจัดการเวลาที่ดี
“168 Hours” เป็นหนังสือที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับเวลาและชีวิต โดยการแสดงให้เห็นว่าเรามีเวลามากกว่าที่คิด และสามารถสร้างชีวิตที่เต็มเปี่ยมและมีความหมายได้
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับทุกคนที่รู้สึกว่าเวลาไม่พอ หรือต้องการสร้างสมดุลที่ดีขึ้นในชีวิต การนำหลักการเหล่านี้มาใช้ในบริบทไทยจะช่วยให้เรามีชีวิตที่มีความสุข ประสบความสำเร็จ และมีความหมายมากขึ้น
สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าการจัดการเวลาไม่ใช่เรื่องของการบีบบังคับตัวเองให้ทำได้มากขึ้น แต่เป็นเรื่องของการเลือกสิ่งที่สำคัญและการสร้างชีวิตที่สอดคล้องกับค่านิยมของเรา